หากเราพูดถึง “Youtuber” สำหรับคนที่เป็นสายเสบ content คงจะรู้จักอาชีพยอดฮิตของคนรุ่นใหม่นี้กันเป็นอย่างดี เพราะหลายคนก็ทำเงินได้จาก Youtube จนกลายเป็นข่าวโด่งดังกันก็หลายคน
ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คอยกดติดตาม Youtuber เอาไว้หลายช่องไม่น้อย โดยเฉพาะช่องที่จับเอาประเด็นเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เรื่องราวมหัศจรรย์ หรือสถานที่ลึกลับมานำเสนอ ซึ่งบางเรื่องก็ทำให้ผมนำมาประยุกต์เพื่อสร้างงานของตัวเองได้พอสมควร
เท่าที่สังเกต ผมพบว่า Youtuber หลายคนทำงานได้ประณีตมากๆ เพราะนอกจากเนื้อหาที่นำเสนอจะมีความน่าสนใจ ยังมีการตัดต่อบทบรรยาย หรือบทพูดประกอบได้เป็นอย่างดี
สำหรับผมการที่เราจะพูดแล้วมีคนฟัง เราจำเป็นจะต้องมีความใส่ใจในการพูด เช่นน้ำเสียงจะต้องนุ่มนวนน่าฟัง การพูดจะต้องไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป ออกเสียงตามหลักภาษาได้ดีในระดับหนึ่ง ที่สำคัญก็คือ การพูดจะต้องมีการเว้นระยะ หรือมีวักตอน ไม่ใช่พูดยาวไปจนกระทั่งไม่มีแม้จังหวะหายใจ ซึ่ง Youtuber หลายคนที่พลาดในจุดนี้อย่างแรง
สำหรับคนฟังแล้ว เมื่อเราฟัง แน่นอนว่าเราจะต้องคิดตามในเรื่องที่ฟัง ดังนั้นการมีวักตอน หรือเว้นช่องไฟ หรือเว้นระยะในการพูดนั้นย่อมสำคัญ เพราะคนฟังจะถือเอาโอกาสที่ผู้พูดเว้นว่างไว้ประมาณหนึ่งถึงสองวินี่แหละในการคิดตาม อีกทั้งผู้พูดยังใช้โอกาสนี้พักหายใจไปในตัวได้ด้วย
ผมเห็น Youtuber จำนวนไม่น้อย ที่เลือกตัดต่อบทบรรยายหรือบทพูดยาวต่อกันเป็นพรืด จริงอยู่ว่าการทำแบบนี้เหมือนว่าจะทำให้เนื้อหาที่นำเสนอดูกระชับขึ้น แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เพราะมันเป็นเพียงการเร่งความเร็วของเนื้อหาให้จบเร็วขึ้นก็แค่นั้น มิหนำซ้ำยังเป็นการยัดเยียดเนื้อหาที่มีใส่คนฟัง ซึ่งเป็นการไม่ควรอย่างยิ่งด้วย
การตัดต่อบทพูดในลักษณะนี้ เป็นการตัดต่อที่ไม่เปิดโอกาสให้คนฟังคิดตามเนื้อหาได้เลย เพราะบทพูดที่ตัดต่อมา จะพูดยาวต่อกันโดยไม่มีช่วงวัก ดังนั้นแค่ฟังตามให้ทันก็ปวดหัวแล้ว คงไม่มีใครมีอารมณ์มานั่งคิดตามอย่างแน่นอน หากมองไม่เห็นภาพ ลองจินตนาการว่า เรากำลังอ่านบทความยาวๆ ที่ไม่มีย่อหน้าหรือวักตอนดู อารมณ์ประมาณนั้นเลยแหละ
ดังนั้นการที่จะเป็นคนนำเสนอเนื้อหาที่ดี ไม่ใช่ดีแค่เนื้อหาเพียงอย่างเดียว แต่มันจำเป็นจะต้องมี “วิธีนำเสนอ” ที่ดีด้วย
- 2555 reads